ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI มีความแตกต่างกันที่นักลงทุนควรรู้ก่อนทำการลงทุน และเพื่อความไม่ประมาท นักลงทุนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเทรดน้ำมันร่วมด้วย เพื่อให้เกิดความกระจ่างและสามารถลดความผิดพลาดในการลงทุนได้ เพราะตลาดน้ำมันคือตลาดลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ในขณะเดียวกันก็สร้างความเสียหายได้สูงเช่นกัน เนื่องจากน้ำมันจะผันผวนไปตามกระแสข่าว และปัจจัยรอบด้านต่าง ๆ ที่นักลงทุนจะได้ร่วมทำความเข้าใจในบทความนี้
น้ำมันดิบ Brent และ น้ำมันดิบ WTI ความเหมือนที่แตกต่าง
น้ำมันดิบ Brent และ น้ำมันดิบ WTI เป็นชนิดของน้ำมันดิบ ซึ่งในโลกนี้มีน้ำมันดิบอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ในตลาดน้ำมันที่มีการซื้อขายหลัก จะมีน้ำมันดิบอยู่ 2 ชนิดนี้เท่านั้น คือการซื้อขายผ่านราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI โดยมีความแตกต่างของชนิดน้ำมันดิบ คือ
- น้ำมันดิบ Brent คือน้ำมันที่ถูกกลั่นในแถบยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ และถูกนำไปใช้ในยุโรป รวมไปถึงแอฟริกา
- น้ำมันดิบ WTI หรือ West Texas Intermediate คือน้ำมันที่มีลักษณะเบา ถูกนำไปใช้สำหรับการผลิตน้ำมันเบนซิน โดยน้ำมันดิบ WTI ถูกขุดและผลิตขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เขตเท็กซัสตะวันตก รวมไปถึงรัฐอื่น ๆ และเป็นน้ำมันต้นแบบที่ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำมันในแถบอเมริกาเหนือ
โดยน้ำมันดิบนับเป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่เกิดจากการทับถมกันของซากพืช ซากสัตว์ และฟอสซิลในชั้นดิน ถูกทับถมกันมาหลายร้อยปี และถูกปกคลุมด้วยชั้นหิน ดิน และทราย วิธีการขุดน้ำมันจึงต้องใช้ทั้งการกลั่น และการสกัดด้วยเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีอันสมัย เพื่อสกัดน้ำมันให้ออกมาจากพื้นดิน และนำมาผลิตเป็นปิโตรเลียมเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่ง การผลิตไฟฟ้า และผลิตสินค้าอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบโลกมีความผันผวน มีความเสี่ยงสูง และให้ผลตอบแทนสูง
อย่ารีบเทรด!!! ถ้ายังไม่รู้ความสัมพันธ์ของราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI
ราคาน้ำมันดิบ Brent และน้ำมันดิบ WTI ได้รับการขนานนามว่า “Black Gold” หรือทองคำสีดำ เพราะในโลกของเราใช้น้ำมันดิบในการผลิตเชื้อเพลิง และใช้เป็นแหล่งพลังงานหลัก การเทรดน้ำมันจึงดึงดูดให้นักลงทุนหันมาสนใจในผลตอบแทนที่น่าพอใจ บนความเสี่ยงที่ถ้าหากวางกลยุทธ์ผิดพลาดก็จะทำให้เกิดการขาดทุนมหาศาล ดังนั้นก่อนจะเทรดน้ำมัน นักลงทุนต้องรู้ถึงความสัมพันธ์ของน้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิดนี้ก่อน
ย้อนไปในช่วงก่อนปี 2011 น้ำมันดิบ WTI มีราคาแพงกว่าน้ำมันดิบ Brent แต่เมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันที่มีความล้ำสมัยและก้าวหน้ามากขึ้น ราคาน้ำมันดิบ WTI จึงเริ่มมีแนวโน้มว่าจะถูกลง โดยในยุคนั้นการพัฒนาการขุดเจาะครั้งนี้เรียกว่า “การปฏิวัติหินดินดานของสหรัฐอเมริกา (US Shale Revolution)” เพราะหลังจากนั้นมาสหรัฐอเมริกาก็ลดการนำเข้าน้ำมัน และสามารถลดต้นทุนการผลิตน้ำมันได้
ส่วนความสัมพันธ์กันของน้ำมันทั้ง 2 ชนิดนี้ จะมีทิศทางราคาที่ไปในทางเดียวกัน แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ราคาน้ำมันดิบของทั้ง 2 ชนิดนี้วิ่งสวนทางกัน นักลงทุนจะต้องระมัดระวังและศึกษาข่าวสารรอบด้านให้ดี เพราะมีตัวอย่างในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 ที่ราคาน้ำมันดิบ Brent แตกต่างกับราคาน้ำมันดิบ WTI อย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลคือมีน้ำมันส่วนเกินที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในแถบอเมริกาเหนือ รวมไปถึงเหตุการณ์ความไม่สงบจากการก่อการร้ายในประเทศอียิปต์ และตะวันออกกลาง
สุดท้ายนี้สถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันดิบ Brent หรือ WTI ก็ยังคงความผันผวนรุนแรง และให้ผลตอบแทนที่สูงเช่นเดิม ขึ้นอยู่กับนักลงทุนว่าจะเข้าฉกฉวยทำกำไรได้ด้วยกลยุทธ์ใด เพราะตลาดนี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การเทรดระยะกลางและระยะยาวอาจจะต้องใช้ความมั่นใจ ความชื่นชอบ และความชำนาญเป็นพิเศษ ส่วนการเทรดระยะสั้นก็ต้องอาศัยไหวพริบและความสามารถรอบตัว แต่ท้ายที่สุดแล้วการลงทุนด้วยความไม่ประมาท จะเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
